วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2554

ที่พัก พักที่ .... @ Lijiang



เมื่อมาถึงลี่เจียงกู่เฉิง สิ่งจำเป็นที่สุดอย่างหนึ่ง และอย่างแรกที่มาถึง
คือ แผนที่เมืองเก่าค่ะ ยิ่งจะพักในเมืองเก่าด้วยแล้ว
ควรมีพกไว้เป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ควรติดต่อเจ้าหน้าที่ที่เราพัก
แล้วโทรนัดให้เขามารับ จะสะดวก และประหยัดเวลากว่าเดินหาเองนะคะ
แล้วที่พักบางแห่ง จนท.ก็สามารถพูดอังกฤษได้
เมื่อถึงที่พักแล้วค่อยขอแผนที่ หรือนามบัตรที่พักเก็บไว้
แต่ยังไงก็ตาม จะมีคนคอยเดินขายแผนที่แผ่นใหญ่มาก
สามารถซื้อเก็บไว้เป็นที่ระลึกก็ได้ค่ะ เป็นแผนที่เมืองเก่าลี่เจียง เมืองเก่าซูเหอ ฯลฯ
แต่ถ้าจะเอามาใช้ดูจริงๆ จะงงๆ หน่อย และราคาก็สามารถต่อรองได้ค่ะ

ตัวอย่างที่พักใจกลางลี่เจียงกู่เฉิง
มีซอยนึงที่มีที่พักให้เลือกพอประมาณ
เป็นซอยหนึ่งที่แยกออกไปจากจตุรัสใจกลางเมือง
เป็นซอยที่เดินขึ้นไปชมวิวหลังคาเมืองเก่าทั้งเมืองได้
และถ้าเดินขึ้นไปเรื่อยๆ ก็จะไปถึง ว่านกู่โหลว (รู้สึกจะเสียค่าเข้าด้วย)
ตลอดซอยนี้จะมีร้านค้าให้นั่งกินลม ชมวิว แต่ต้องสั่งน้ำ หรืออาหารเป็นพิธี 
จะไปนั่งกินลมเปล่าๆ เค้าไม่ให้เข้านะคะ 
พวกเราก็เลยสั่งน้ำแก้วสองแก้ว แต่นั่งกัน 4 คน ^___^"
นอกเรื่องอีกแล้ว กลับมาที่...

ที่พักแถวนี้ น่าจะเหมาะกับคนที่ชอบความคึกคัก
และกะว่ากินเสร็จ เมาแล้วฉันจะไม่ไปไหน
ก็เลือกพักแถวนี้ก็ได้ เพราะอยู่ใกล้ลานจตุรัสใจกลางเมือง
(Square Street, Square Market)
ดูทางเดินซะก่อน เดินขึ้นเขา พื้นก็สากด้วย
ดังนั้นควรเป็นเป้สะพายหลังจะดีกว่าค่ะ

ตัวอย่างที่พักแถวนี้ เช่น Si fang Yuan Inn (ป้ายสีดำตัวหนังสือทองขวามือ)
ไม่รู้ชื่อนี้มีกี่ที่ คุ้นๆ เหมือนเห็นชื้อนี้ตรงตำแหน่งอื่นในเมืองด้วย
เพราะตอนแรกกะจะพักที่ Si fang แต่ไม่รู้ใช่ที่นี่เปล่า
ดูไม่เหมือนกับที่คิดไว้ เลยไม่พักดีกว่า


Wang Gu Inn


Guest No.68 House ที่นี่ดูน่าเข้าดี เลยลองเดินเข้าไป
ถ่ายรูปมา และก็หยิบนามบัตรออกมาด้วย

นามบัตร Guest No.68 House ด้านหน้า-ด้านหลัง
(ขออนุญาตทำไฮไลท์สีชมพูขึ้นเองค่ะ เพราะบางที่ไม่มีชื่อภาษาอังกฤษบนนามบัตร)

= : = : = : = : = : = : = : = : = : = : = : = : = : = : = : =

ต่อไปขอพาไปดูที่พักทางฝั่งทิศใต้แถว Crowne Plaza
ซึ่งอยู่ใกล้กับประตูทิศใต้ของเมืองเก่าลี่เจียง
(จริงๆ ก็คงไม่ใกล้เท่าไหร่ แต่ว่าเป็นระยะทางพอเดินไปได้)
ที่พักแรกสุดที่อยู่ติดถนนใหญ่ (Xiang He Road)
คือ Crowne Plaza 


ซึ่งกินพื้นที่ใหญ่มาก สามารถใช้เป็นจุดนัดพบได้เลย
ที่นี่ดูแล้วเหมือนเป็นที่พักของขุนนาง หรือชนชั้นสูงสมัยก่อนเลย
เพราะประกอบไปด้วยบ้านหลังเล็กๆ หลายหลัง ภายใต้รั้วเดียวกัน 
แต่อันนี้ก็ไม่รู้ว่าเพิ่งสร้าง หรือมีมานานแล้วและได้รับการปรับปรุง
เพราะดูน่าพักมาก และก็คงแพงน่าดู

เดินไล่ขึ้นมาเรื่อยๆ ก็มีที่พักแบบบ้านจีนโบราณมากมาย
ก็เพราะที่นี่เป็นลี่เจียงกู่เฉิง ที่ตัวบ้านจะเป็นลักษณะล้อมรอบที่ตรงกลางเอาไว้
แล้วที่ตรงกลางนั้นก็จะเปิดโล่ง มักตกแต่งด้วยต้นไม้
หรือมีโต๊ะเก้าอี้เพื่อให้แขกนั่งพักผ่อน นั่งเล่นชิวๆ

เช่น Cai Yun Li Shui Inn


Feet Home

Home Spring & Autumn Inn


Lidaoyuan Inn


Shelter Inn


Yi Ran House

นามบัตร Yi Ran House




Old Town Garden Resort


นามบัตร Old Town Garden Resort


และที่สุดท้ายที่ฮาสุดๆ .... ที่อยากจะนำเสนอ
Dream Land
แว้บแรกที่เห็นคือ สวนสวยกับเก้าอี้ชิงช้าน่านั่ง
สักพักก็มีน้องหมาตัวสีน้ำตาลเดินออกมาทักทาย
ยังชี้ให้พ่อดู หมาน่ารักดี ดูแสนรู้ และขนสวยเชียว
แต่สงสัยแสดงออกว่าชอบมากไปหน่อย หรือเขาฟังไทยออกก็ไม่รู้
คงนึกว่าเราเป็นคนเลี้ยงหมา ชอบหมา 555
เค้าเลยปล่อยเจ้าขนปุยสีขาวเทาตัวนี้ออกมาด้วย

เห็นในรูปอย่างงี้ดูน่ารักๆ ใช่มั้ย แต่ของจริง ตัวใหญ่มาก
ขนาดยืนสี่ขาก็ประมาณเอวได้ หมาหรือม้าก็ไม่รู้ น่าจะขึ้นไปนั่งได้เลยนะเนี่ย

พอเจ้าตัวนี้วิ่งเข้ามาทักทายอย่างน่ารัก เดินไปไหนก็วิ่งตามไปด้วย
ถ้าใครเลี้ยงหมา ต้องชอบแน่ๆ เลย และคงอยากพักที่นี่ 
แต่คนไม่เคยเลี้ยงอย่างเรา ก็เลยต้องแอบหลังพ่อใหญ่เลย 555
สังเกตมืออันสงบเสงี่ยมนั้น ก็พ่อเราเอง แอบกลัวเหมือนกัน อิอิ
และทำให้ตัดสินใจง่ายขึ้นว่า อีกคืนนึง เราพักที่เดิมแหละ ดีละ
ไม่ต้องย้ายที่หรอก แล้วก็รีบลาออกมาเลย
อ้อ ถ้าใครชอบน้องหมา อยากพักที่นี่ อาจต้องโทรจองก่อนนะ
เพราะตอนที่เข้าไปถาม ก็รู้สึกว่าห้องเกือบๆ เต็มเหมือนกัน ขนาดไม่ใช่ช่วงเทศกาล
ที่นี่มีเว็บไซต์ด้วย ท่าทางจะพูดอังกฤษได้ เพราะเจ้าของดูเด็กๆ อยู่เลย

นามบัตร Dream Land
ตอนแรกก็ไม่ได้จดชื่อมาหรอก
แต่พอเห็นน้องหมาเท่านั้น นึกชื่อขึ้นได้เลย 555
หมาตัวใหญ่มาก ต้องที่นี่เท่านั้น Dream Land
น่าจะเป็นจุดขายสำหรับที่นี่
แต่ไม่ใช่สำหรับเรา
ปล. แต่น้องหมาน่ารักดีนะ ถ้ามันตัวเล็กกว่านี้หน่อยอะนะ

ที่เก็บภาพมาก็มีแค่นี้แหละค่ะ 
แต่จริงๆ มีที่พักอีกมากมายที่ไม่ได้ถ่ายมา
สรุปที่พักด้านหลังฝั่งประตูทิศใต้นี้ คนไม่พลุกพล่านมาก
เหมาะกับการนั่งเล่นชิวๆ มากมาย

ส่วนการเดินทางมาแหล่ง Guest House ทางด้านใต้ แถว Crowne Plaza
ที่อยู๋ละแวกประตูทางทิศใต้ของเมืองเก่า
สามารถมาทางถนนใหญ่ Xiang He Road ได้
แต่พอถึง Crowne Plaza รถสาธารณะจะเข้าไม่ได้
เข้าได้แต่รถส่วนตัวของเจ้าของที่พักสามารถเข้าไปได้ช่วงหนึ่ง
หรือจะใช้วิธีเดินมาจากประตูทางทิศเหนือก็สามารถทำได้
แต่คงเหนื่อยน่าดูถ้ามีกระเป๋ามาด้วย !!!
เพราะฉะนั้นถ้าจะพักแถวนี้ครั้งแรกมาทางรถผ่านถนน Xiang He ดีกว่าค่ะ
เก็บของ แล้วค่อยเดินเล่นสบายๆ ไปทั่วเมืองเก่าได้


แต่ขอบอกการเดินทางจากทางทิศเหนือกังหันน้ำ
มาที่ทิศใต้ Guest House แถวย่าน Crowne Plaza แล้วกันนะคะ
คือ ถ้าเดินมาจากกังหันน้ำประตูทางทิศเหนือ เมื่อผ่านย่าน Square Street มาแล้ว
(ตรง Square Street จะมีแยกมากมาย)
ถ้าเจอรูปตามภาพ A  แล้วให้เดินต่อไปอีก ซอยจะแคบลง
สองข้างทางจะเป็นร้านค้า มุ่งหน้าลงใต้ต่อไป สังเกตด้านขวามือ
จะมีร้านขายเครื่องเงินตามชื่อภาษาจีนที่เห็นในภาพ B (ข้อมูลตอนเดือนเมษา'54)
ติดกับร้านขายเครื่องเงินจะมีซอยเล็กๆ ให้เดินเข้าไป


พอเข้าซอยเล็กๆ มาแล้ว เดินพ้นออกมาก็จะมาโผล่ตามรูปที่ 1
เดินต่อไปเรื่อยๆ จะเจอรูปที่ 2
เดินต่อไปอีกซ้ายมือเป็นรูปที่ 3 ขวามือเป็นรูป 4
ประมาณนี้ค่ะ เท่าที่จำได้ เวลาผ่านไปความจำก็เริ่มเลือน 555
ต้องขออภัยหากมีข้อผิดพลาด แต่คิดว่าไม่น่าผิดนะ

ยังไงครั้งแรกที่ไปถึง ก็ควรโทรให้จนท.ของที่พักมารับเราจะดีกว่า
และก็ขอแผนที่ หรือนามบัตรจากเขาไว้ กันหลง
เพราะร้านค้าจะหน้าตาละม้ายคล้ายกันหมด
แต่ถ้าได้ลองเดินเล่นสักรอบ สองรอบในเมืองเก่า ก็จะจำทางได้แล้วค่ะ



ท้ายสุดขอบ่นและโฆษณา Link ที่ทำไว้หน่อย... 
ที่พักแบบบ้านโบราณนี้เคยจะหาพักในปักกิ่งแทบจะพลิกแผ่นดินหา
เพื่อจะให้ได้ทำเลใกล้รถไฟฟ้า ไม่ต้องเดินไกล และราคาไม่แพงเกินไป 
แต่สุดท้ายก็ต้องตัดใจ เพราะถึงหาเจอก็ไม่ใกล้รถไฟฟ้าบ้าง ราคาแพงเกินไปบ้าง 
สุดท้ายเลยมาพักแบบสบายๆ สไตล์โมเดิร์น ที่ Orange Hotel ปักกิ่ง แทน 
ถ้าใครจะไปปักกิ่งลองตาม Link ไปดูรูปได้นะคะ

วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554

New City @ Lijiang

ตอนนี้จะพาไปดูแหล่งขายลองจอนที่ลี่เจียงในเมืองใหม่ ซึ่งติดกับเมืองเก่ามากๆ

เริ่มตรงที่เราออกจากลี่เจียงเมืองเก่า ฝั่งประตูทิศเหนือ ที่มีกังหันน้ำอันใหญ่ๆ

เดินออกมาทางที่เห็นถนนที่มีรถวิ่ง เดินมาจนเจอสะพานลอยและก็ให้ข้ามมาอีกฝั่ง

ข้างทางจะมีร้านแบรนด์เนมมากมาย เดินย้อนขึ้นมาเรื่อยๆ

เลี้ยวซ้ายนิดหน่อย จนเห็นฝั่งตรงข้ามเป็นดังรูป


นั่นคือเราได้มายืนอยู่ตรงตลาดที่มีขายลองจอน มีให้เลือกเยอะเหมือนกัน แต่ต้องต่อราคาหน่อย


นอกจากนี้ยังมีขายเสื้อกันหนาว รองเท้า  ฯลฯ ใครพอมีเวลา ก็มาหาซื้อแถวนี้ ก่อนจะไปขึ้นภูเขาหิมะมังกรหยกได้

แล้วฝั่งตรงข้ามกับที่ขายลองจอนนั้น ถ้าเดินไปอีกหน่อยก็จะมีร้าน Dico อยู่ที่ชั้น 2 ต้องสังเกตทางเข้าให้ดี เพราะมันเล็กมาก ไม่ได้ถ่ายรูปทางเข้ามา แต่ถ่ายอาหาร กับราคามาให้ดู แพงเหมือนกัน แต่ทำให้หายอยาก (ข้าว) ได้บ้าง สรุปคืออร่อยอะแหละ กลับมายังอยากกินอยู่เลย


สรุปตำแหน่งต่างๆ คร่าวๆ ได้ดังรูปข้างล่าง



ถัดลงมาจากแยก (ที่เห็นข้างบน) นี้ก็เป็นรูปปั้นท่านประธานเหมาฯ



พูดถึงลองจอน กับเสื้อกันหนาว ตอนแรกของทริปนี้คือตั้งใจจะไปเมืองคุนหมิงก่อน เพื่อจะไปแวะซื้ออุปกรณ์กันหนาวเหล่านี้

กะจะช้อป ต่อราคาให้หนุกหนานเลย ที่ "ตลาดโหลสุวรรณหรือหลัวซือวาน (Luo Shi Wan)" ตามที่อ่านมาจากในเน็ต

ที่ไหนได้ ไปถึง ห้างใหญ่จริง อะไรจริง ใหญ่มากจนน่าจะเรียกว่าอาณาจักรโหลสุวรรณ

แต่มันมีหลายอาคารเกิน เดินหาจนมึน แม้จะมีแบ่งโซนแผนกแล้ว

ประกอบกับช่วงที่ไป คือ ต้นเมษา ที่คุนหมิงคนขายบอกนี่ไม่ใช่หน้าหนาวของเค้าแล้ว (แต่ทำไมเรายังหนาวอยู่หว่า)

เลยไม่ค่อยมีเสื้อกันหนาวขนเป็ด หรือเสื้อกันหนาวหนาๆ ตั้งโชว์ขาย

สรุปไปตั้งไกล เลยได้เสื้อพอกันหนาวได้บ้าง มาประมาณ 2 ตัว (ต้องไปรื้อตรงที่เขากองๆ เก็บไว้ เพราะไม่มีตั้งโชว์)

ไม่คุ้มกับการเดินทางเลย เพราะห้างนี้อยู่ไกลมาก ตอนแรกที่อ่าน สงสัยมึน จำผิดนึกว่าอยู่ใกล้ๆ สถานีรถไฟ

แล้วเรานั่งแท็กซี่ไปด้วย นึกว่าเขาจะพาไปขายซะละ ออกไปไกลมาก

ขากลับก็นั่งรถเมล์กลับ ไกลมากกกกก เหนื่อยมาก สรุปอย่าไปเลยห้างนี้ ถ้าไม่ได้คิดจะซื้อแบบขายส่ง


ส่วนอีกห้างนึง ถ้าจำไม่ผิด ชื่อ "ห้างซวงหลง" ตอนที่ไปก็เจ๊ง หรือปิดปรับปรุงไม่รู้ ไปถึงก็ไม่มีร้านเปิดขายเลย เซ็งอีกรอบ ไม่ได้ช้อป

แต่เมื่อความอยากยังมีอยู่ ในที่สุดก็ดิ้นรนหาที่ช้อปเจอจนได้ ...

จนดวงตาเห็นธรรม ว่าแหล่งช้อปปิ้งที่น่าเดินที่สุดแห่งหนึ่งในคุนหมิง

ก็อยู่แถวย่านที่เราพัก KinnOne Hotel (ดู review ของคุณ ติง ซ่าน เปิ่น)

ไม่รู้เขาเรียกย่านอะไร แต่แถวนี้มีห้างเต็มไปหมด

ข้างบนเป็นถนนคนเดิน ข้างล่างเป็นอุโมงค์ให้รถวิ่ง เจ๋งดี ดูรูปเอาเลยละกัน





ยิ่งตอนกลางคืนจะคึกคักมาก เปิดไฟแข่งกันสวยงาม มาย่านนี้ที่เดียวก็ช้อปไม่หมดแล้ว

แถมยังมีร้านขนมปังอร่อยๆ ถ้าเบื่ออาหารเลี่ยนๆ แบบเดิมแล้ว ก็ต้องฝากท้องที่ร้านนี้เลย ร้าน BreadTalk


..... ขอจบตอนนี้แค่นี้ก่อน รู้สึกเขียนงงๆ ยังไงไม่รู้ จนจะกลายเป็นรีวิวคุนหมิงไปซะละ

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Diqing, Shangri-la Airport


พวกเรานั่งแท็กซี่จากเมืองเก่าจงเตี้ยน (แชงกรีล่า) มาถึงสนามบิน
เกือบๆ 7 โมงเช้าได้ ใช้เวลาเดินทางไม่น่าเกิน 15-20 นาที
ด้วยราคาเหมา 30 Y ถ้ามาสายหน่อย Taxi อาจจะยอมกดมิเตอร์
ก็จะแค่ 15 Y เท่านั้น ตอนขนกระเป๋าออกมาจากที่พัก ยังมืดๆ อยู่เลย
พอถึงสนามบิน สิ่งแรกที่เจอนอกจากความหนาวเหน็บ
ก็คือความใหม่ และความสวยงามของสนามบิน

กงล้อมนต์ ที่สนามบินก็มีนะ


ภายนอกอาคารผู้โดยสารของสนามบิน
Xianggelila หรือ Shangri-la Airport
ถ้าจองผ่านเว็บบางทีเขาจะใช้ชื่อ Diqing Airport (DIG)


อีกมุมหนึ่ง


หอบังคับการบิน

พอเข้ามาข้างในก็พบกับความใหม่ และความสะอาด
ของสนามบิน

สะอาดกว่าสนามบินคุนหมิงอีก
หรือเพราะว่าเรามาเช้า มันเลยยังสะอาดอยู่ รวมถึงห้องน้ำด้วย ^^"
เรามาเช้า เคาน์เตอร์ยังไม่เปิดให้เช็คอินเลย
นึกว่าประมาณสนามบินสุวรรณภูมิต้องไปก่อนสัก 2 ชั่วโมง
เลยเผื่อเวลาไว้เยอะหน่อย แต่ก็ดีอย่างไม่ต้องรีบๆ


ยืนหนาวอยู่สักพัก ก็มีผู้หญิงแต่งตัวเหมือนพนักงานเชื้อเชิญ
ให้เข้ามานั่งพักผิงพัดลมอุ่นๆ บนโซฟานุ่มๆ ตามรูป เราก็เลยตามไป
พัดลมสีแดงๆ ที่เห็นเป็นพัดลมทำความร้อนน่ะ
แปลกดี เพิ่งเคยเห็น เค้าชี้ให้ดูข่าวแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่นด้วย...
นั่งสักพักก็เชิญให้สั่งชา ซะงั้น เพราะเขาเป็นพนักงานขายของนี่เอง

พอได้เวลา พนักงานของสนามบินก็มายืนเข้าแถว
ก่อนจะแยกย้ายกันไปประจำตำแหน่ง พอ Counter เปิด เราก็ไปเช็คอิน
ที่นี่เป็น Counter แบบเช็คอินรวม คือ ไม่มีแยกเช็คอินตามสายการบิน
ตอนที่ไปเปิดอยู่สองช่อง เราจองจากเว็บ Ctrip ตามเมล์เขาบอกว่า
ให้มายื่น Passport ที่สนามบินได้เลย ไม่ต้องใช้เอกสารใดๆ ทั้งสิ้น
ก็เสียวๆ อยู่ ว่าจะได้ไหม เพราะปกติเขาจะมี e-ticket มาให้
แต่เราก็ปริ้นเอกสารที่เกี่ยวข้องมาเผื่อ เพื่อความสบายใจ
และก็คอยเช็คเมล์ตลอด เผื่อ Flight โดนยกเลิก หรือเปลี่ยนแปลง
เพราะไม่เคยจองเครื่องบินผ่านเว็บจีนมาก่อน เคยแต่จองโรงแรม
ตั้งแต่สมัยที่เว็บยังมีแต่ภาษาจีน ต้องใช้เครื่องมือช่วยแปล จนตอนนี้เว็บ
เขาโกอินเตอร์แล้วมีภาษาอังกฤษกับเขาด้วย พนักงาน Call-Center
ก็พูดอังกฤษ สำเนียงจีน ได้เก่งมาก ตอนจองจากเมืองไทยมีปัญหานิดหน่อย
เขาก็โทรมาหาด้วย ตกใจหมดเลยเพราะไม่คิดว่าเขาจะโทรเข้าเบอร์มือถือของไทยที่ให้ไป

ถ้าต้องการจองเครื่องบินควรจองแต่เนิ่นๆ หน่อย
เพราะราคาจะถูกมาก ตอนที่ดูครั้งแรกก่อนเดินทางประมาณเดือนกว่าๆ
ราคาตั๋วแชงกรีล่าไปคุนหมิง ของ China Eastern Airline (MU)
ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 280 Y เท่านั้นเอง
แล้วก็จะไต่ระดับราคาขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึง 890 ถึง 1110 Y ก็มี
แต่ละราคาจะมีที่นั่งจำกัด พอเต็มราคาก็จะโดดไปต่อ
เนื่องจากเรายังลังเลว่าจะอยู่แชงฯ กี่วันดี หรือจะกลับจากลี่เจียง เลยยังไม่จอง
จน MU ราคาขึ้นไป 890 ละ หลังจากนั้นก็มีสายการบิน Lucky air
ชื่อเที่ยวบิน 8L9992 ขึ้นราคามาให้เลือก เราก็ยังตัดสินใจไม่ได้อีก
กลัวว่าคนน้อย มันจะยกเลิกไฟลท์มั้ย
จนราคามันขึ้นมาที่ 450 Y สำหรับสามคน และ 890 Y สำหรับอีกคน
ก็เลยได้ฤกษ์จองไปในที่สุด เพราะใกล้วันบินแล้วด้วย
นี่เป็นเหตุให้ Call-Center จาก ctrip ต้องโทรมา เพราะโปรแกรมมันทำมาไม่ดี
เราเลยลักไก่จองไป 4 คน ราคาคนละ 450 Y ได้
แต่เขาไม่ให้จองเพราะราคา 450 เต็มแล้ว ก็เลยต้องจองใหม่แยกเป็น 3 กับ 1
หลังจากนั้นไม่กี่วันลองกลับไปดูที่เว็บ อ้าวว ทำไมราคา 450 ยังมีอีกล่ะ
แต่ก็ช่างมันละ เพราะใกล้วันเดินทางแล้ว
และรวม 4 คนแล้วถูกกว่า MU อยู่พอสมควร
(ช่วงนั้น กำลังมีข่าวแผ่นดินไหว และข่าวโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ญี่ปุ่นพอดี
ราคามันเลยขึ้นๆ ลงๆ ยังไงไม่รู้ อาจเป็นเพราะบางทัวร์มียกเลิกด้วยมั้ง)

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ทำไมไม่จอง MU ตั้งแต่ราคา 280Y
ไม่งั้นจะประหยัดไปได้เยอะมากๆ

หมายเหตุ: เว็บ ctrip.com จะใช้คำว่า Shangri-la Airport
เว็บ elong.net จะใช้คำว่า Diqing Airport

กลับมาต่อที่ ... หลังจากโหลดกระเป๋าที่เคาน์เตอร์เช็คอินเสร็จ
ก็ผ่านขั้นตอนการ Scan พวกของที่ระลึกกงล้อมนต์ที่เราไม่ได้โหลด
ก็ผ่านการสแกนมาได้ด้วยดี แต่ไปเจอปัญหาตอนขาออก
จากสนามบินคุนหมิงจะมากรุงเทพ จนท.สแกนตั้ง 2 รอบ
เราเอาพวกกงล้อมนต์ที่แกว่งๆ หมุนๆ กับกงล้อมนต์แบบที่หมุน
โดยอาศัยพลังงานแสงอาทิตย์มาใส่รวมกัน และก็มีอย่างอื่นด้วย
ตอนสแกนนี่ เขาดูไม่ออกเลยว่าอะไร เราแอบดูในจอ
มันเหมือนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แผ่นเมนบอร์ด อะไรประมาณนั้นเลย
เขาเลยขอเปิดดู พอรู้ว่าเป็นของที่ระลึก เขาก็โอเคให้ผ่านได้
ไม่รู้เป็นเพราะเซลล์แสงอาทิตย์รึเปล่า ทำให้เห็นเป็นรูปแบบนั้น
แต่กลับมากรุงเทพทดลองใช้ ก็ยังใช้ได้อยู่ นึกว่าจะเจ๊งซะละ



หลังจากนั้นก็ผ่านขึ้นมาที่ชั้น 2 เพื่อมารอที่ Gate
ตั้งแต่ที่มาถึงสนามบิน จะได้ยินเสียงประกาศเป็นภาษาจีน
และภาษาอังกฤษ เกี่ยวกับเที่ยวบินต่างๆ ที่บินเข้ามายังสนามบินนี้
อยู่เป็นระยะๆ ทำให้เรารู้ว่าสายการบินที่เราจะไปไม่มี Delay
และจะ Landing ตอนกี่โมง (อันนี้ก็ดีกว่าสนามบินที่คุนหมิงอีกละ)

มาแล้ว Lucky Air ชื่อนี้ทำให้จินตนาการไปว่า
สายการบินนี้ต้องอาศัยโชค และดวงในการบินหรือไม่ ?  -_____-"
แต่พอค้นๆ ดูใน internet ก็พบว่าเจ้าของคือ
Hainan Airlines, Shanxi Airlines ก็สายการบินใหญ่อยู่นะ
พอสบายใจได้ในระดับหนึ่ง

พอจอดเทียบแล้ว เห็นมีคนลงมาจากเครื่องไม่เกิน 20 คน
แล้วมันไม่เจ๊งหรอเนี่ย? ขาบินกลับไปคุนหมิงก็มีน้อยกว่าขาบินมาแชงฯ อีก


ขึ้นมาบนเครื่องแล้ว เตรียมตัวออกบิน


ภายในเครื่องบิน แอร์ฯ ที่นี่หน้าตา หุ่นดีกว่า
สายการบินแห่งชาติที่เรานั่งขากลับไปกรุงเทพซะอีก
ที่นี่เขาก็เข้มงวดนะ ระหว่างถ่ายรูปนี้ เขาก็บอกว่าห้ามถ่าย
กระเป๋าก็ให้วางเก็บให้เรียบร้อย ไม่ให้วางบนตัก ฯลฯ


บนเครื่องบินก็ไม่มีแจกอะไรเลย นอกจากน้ำเปล่า
นึกว่าจะมีขนมแจกสักนิดหน่อยก็ยังดี เพราะกำลังหิวเลย
ระหว่างทาง วิวสวยมาก เป็นมณฑลที่มีภูเขาเยอะมาก
และภูเขาก็สูงมากด้วย เสียดายที่กระจกมองวิวเลอะไปหน่อย
เลยถ่ายวิวข้างนอกไม่ค่อยชัด
กำลังเคลิ้มจะหลับ ก็ได้ยินเสียงประกาศแต่ฟังไม่ค่อยออก
ก็เลยจะหลับต่อ สักพักแอร์เข้ามาบอกให้ปรับเก้าอี้ขึ้น
อ้าว !! ถึงแล้วหรอเร็วจังเลย
ประมาณบินจากกรุงเทพไปพิษณุโลกไม่ถึงชั่วโมง


ถึงคุนหมิงโดยสวัสดิภาพ ไม่มีดีเลย์ ขับนุ่มดี
เสียดายไม่มีขนมให้กินบนเครื่อง
พอลงมาเจออากาศที่คุนหมิงกำลังเย็นสบาย ก็ปรับตัวแทบไม่ทัน
เพราะที่แชงกรีล่าหนาวมาก


แถมท้ายด้วยชื่อสนามบินต่างๆ ของมณฑลยูนนาน

Posted by Picasa

วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554

Pu Dacuo National Park @ Shangri-la

ที่จอดรถก่อนเข้าอุทยานแห่งชาติผู่ต้าชอว์ ถ้าเช่ารถมาต้องเสียค่าผ่านเข้ามาจอด 5 Y ด้วย

ป้ายทางเข้าอุทยานฯ

บัตรราคาเต็ม 190 Y ราคานี้รวมค่ารถของอุทยานฯ แล้ว
ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่นี่ลดได้ ไชโย!! พ่อเลยลดราคาได้มาใบนึง 135 Y
บัตรนศ.จะลดได้ต้องอายุไม่เกิน 24 ปี

ด้านหลังบัตรราคา 190 Y

ด้านหลังบัตรราคา 135 Y

จุดชมวิวแต่ละที่ มีแผนที่แสดงให้ดูอย่างเด่นชัด

ที่แรกที่ลงคือ ทะเลสาบ Shudu (Shudu Lake)

มีทางเดิน แต่ไม่ได้เดิน กลัวเดินกันไม่ไหว
เลยถ่ายรูปเล่นแถวนั้น และรอขึ้นรถคันต่อไปอีกเกือบ 40 นาทีได้

พอขึ้นรถ สักพักเขาก็จอดให้ลงอีกที่นึง
ยังคงเป็นทะเลสาบซูโต เหมือนเดิม

แต่เป็นอีกมุมนึง ที่มองเห็นภูเขามีหิมะปกคลุมด้วย

มุมนี้ด้วย

นี่ก็ด้วย ที่นี่รถของอุทยานเขาจอดรอพวกเรา พวกเราก็เลยรีบถ่าย รีบขึ้นรถต่อ

ที่ต่อไปที่รถจอดคือ ที่ราบ Militang
จากภาพแม้จะดูแห้งแล้งไปหน่อย แต่บรรยากาศจริงนั้นหนาวเย็น ลมแรง
มีแดด รวมๆ แล้วบรรยากาศก็ใช้ได้เลย เพียงแต่เดือนเมษายนที่ไปมันขาดสีสันไปหน่อย


แล้วต่อไปก็คือทะเลสาบ Bita หรือผีต้าไห่ (Bita Lake)
ที่เหมือนเรามาไม่ถึงยังไงก็ไม่รู้ เพราะดันไม่ได้นั่งเรือชมวิว
สงสัยต้องหาโอกาสไปใหม่


แล้วต้องมาเดือนไหนเนี่ย ถึงจะได้วิวสวยอย่างในรูป ?

ถ้าใครไปเดือนอื่นช่วยรีวิวให้ดูด้วยนะคะ อยากเห็นว่าเดือนไหนสวยที่สุด

= : = : = : = : = : = : = : = : =